ระบบ GSM
การพัฒนามาตรฐานระบบ Digital Cellular GSM สู่ความเป็นสากล
เนื่องจากในแต่ละประเทศ เลือกระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้งานภายในประเทศของตนเองโดยใช้ระบบที่แตกต่างกัน
จึงไม่สามารถนำโทรศัพท์เคลื่อนที่จากประเทศหนึ่ง ไปใช้งานในประเทศอื่นๆ ได้ ทั้งมีข้อจำกัดในเรื่องของความถี่ที่แตกต่างกัน
จึงมีแนวความคิดที่จะสร้างมาตรฐานของระบบโทรศัพท์ที่สามารถนำไปใช้ในประเทศต่างๆ
ได้อย่างอิสระ ทั้งไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของความถี่ใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเป็นระบบที่เป็นหนึ่งเดียว
โดยเริ่มในปี 1982 โดย CEPT, (Conf'erence Europ'eenne des Administrations des
Postes et des Te'le'communications) ได้ตัดสินใจตั้ง Groupe Spe'ciale Mobile
เริ่มต้นเป็นแกนนำในการสร้างระบบ GSM โดยได้เริ่มพัฒนาสร้างมาตรฐานรวมสำหรับโครงข่ายในอนาคตของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ในกลุ่มประเทศ pan European
รูป แสดงกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ที่ก่อตั้งระบบ GSM
โครงสร้างของระบบ GSM (System Architecture)
รูป แสดงโครงสร้างโครงข่ายของระบบ GSM
3. สถานีฐาน (Base Station or Base Transceiver Station) สิ่งที่ทำงานคู่กับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ภายในโครงข่ายของระบบ cellular คือสถานีฐานซึ่งถูกเรียกว่า base transceiver
station (BTS) ,BTS จะเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโทรศัพท์ GSM ไปโครงข่าย โดยปกติตำแหน่งของ
BTS จะอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของ cell size ,BTS 1 สถานี จะมี 1 -16 Transceivers
แยกกันแต่ละ RF channel ,ความฉลาดบางอย่างที่มีสามารถในการตัดสินใจ ที่มีอยู่ในระบบ
analog base stations และ host network ดังเช่น การวัดใน radio channels เพื่อหาจุดสำหรับ
handover ,ในสถานีฐาน BTS ของระบบ GSM จะโยนหน้าที่นี้ไปให้ตัวเครื่องโทรศัพท์
GSM จึงทำให้ลดหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ ลงไป ทำให้โครงสร้าง GSM ถูกกว่าระบบ analog
หลักการนี้มีดังนี้ ในโครงข่ายของ cellular จะทำการวัดสัญญาณความแรงของ cell size
ที่ใช้งานอยู่ กับ cell size ข้างเคียง เมื่อสัญญาณจาก cell ที่ใช้งานอยู่อ่อนกว่า
cell size ข้างเคียง ก็ทำการโอนไปใช้ยัง cell size ข้างเคียงที่มีสัญญาณแรงกว่า
การโอนเปลี่ยน cell size ขณะใช้งานนี้ในระบบ analog เรียกว่า handoff ส่วนในระบบ
GSM เรียกว่า handover ซึ่งมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้
ในระบบ analog สถานีฐานจะทำการวัด power level ของเครื่องโทรศัพท์ระหว่างใช้งาน
เมื่อคุณภาพของสัญญาณต่ำลงเนื่องจากระยะทาง สถานีฐานก็ทำการสั่งให้เครื่องโทรศัพท์จับสัญญาณจาก
cell size ข้างเคียงแล้วทำการวัด power level จากเครื่องโทรศัพท์รายงานไปยังโครงข่าย
ถ้า power level ของcell size ไหนแรงกว่าแสดงว่าเครื่องโทรศัพท์อยู่ใกล้ cell size
นั้น โครงข่ายก็จะตัดสินใจให้ไปใช้ channel ความถี่ของ cell size ใหม่ และสั่งให้เครื่องโทรศัพท์
tune ความถี่ไปยังความถี่ของ cell size ใหม่ใช้สนสนาต่อไป จะเห็นได้ว่าเครื่องโทรศัพท์จะเป็นลักษณะในการรับคำสั่งอย่างเดียวในกระบวนการ
handoff การวัดและการทำงานกระบวนการตัดสินใจจะทำที่ตัว สถานีฐานและโครงข่ายทั้งสิ้น
ในระบบ GSM การ handover มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันคือ ในระบบ GSM เครื่องโทรศัพท์
GSM จะต้องทำการวัด power level ของ cell size ข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้สถานีฐาน
(BTS) จะให้เครื่องโทรศัพท์ GSM ทำรายงานผลการวัด power level ของ channel ที่ใช้งานและ
power level ของ cell size ข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการวัดส่งกลับไปให้สถานีฐาน
(BTS) ในรูปของรายงานผลการวัด (measurement report) เป็นระยะๆ ,ที่ตัวสถานีฐานเองก็ทำการวัดคุณภาพสัญญาณของ
power level ของเครื่องโทรศัพท์ GSM ที่ติดต่อมายังสถานีฐานด้วยอีกทางหนึ่ง ถ้าผลของการวัดแสดงถึงความจำเป็นในการ
handover, ดังนั้นก็สามารถปฏิบัติการการได้เลยโดยไม่ชักช้า ความเหมาะสมในการ handover
สถานีฐานจะรู้อยู่แล้ว โดยจุด thresholds สำหรับการ handover สามารถปรับให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขการทำงานที่เปลี่ยนไปได้
จากการลดภาระของสถานีฐาน (BTS) ในระบบ analog ที่ต้องสั่งการและประมวลผลให้กับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องในระบบอยู่ฝ่ายเดียวตลอดเวลา
ทำให้โครงสร้างของโครงข่าย GSM มีราคาถูกกว่าโครงข่ายของระบบ analog เป็นผลให้ประเทศต่างๆ
หันมาติดตั้งระบบ digital cellular แทนระบบ analog เดิมเช่น AMPS, NMT, TACS เพิ่มมากขึ้น
การติดต่อระหว่างตัวเครื่องโทรศัพท์ GSM กับ สถานีฐาน (BTS) ใช้การเชื่อมต่อแบบผ่านอากาศ
หรือ Radio Interface (Um)
4. ระบบควบคุมสถานีฐาน (Base Station Controller,BSC) BSC ทำหน้าที่
monitor และควบคุมสถานีฐาน ซึ่ง 1 BSC อาจควบคุมสถานีฐานได้ 10 หรือ 100 สถานี
แล้วแต่การออกแบบระบบ งานของ BSC คือการจัดการความถี่และการควบคุมสถานีฐาน และจัดการ
functions ต่างๆ จากชุมสาย
การติดต่อระหว่างสถานีฐาน (BTS) กับ ระบบควบคุมสถานีฐาน (BSC) จะเชื่อมโยงผ่าน
Abis โดยทาง 2.048-Mb,PCM-30 link (32 slots X 64kbps = 2.048-Mb) fixed-line standard
5.ชุมสาย Switching ต่อผ่าน (Gateway Mobile Services Switching Centers ,GMSC)
GMSC เป็นตัวเชื่อมโครงข่าย GSM ไปยัง PSTN, GMSC ทำงานในลักษณะของชุมสาย โดยทำหน้าที่บริการผู้ใช้ที่ทำการลงทะเบียนทั้งหมดในระบบให้สามารถเรียกจาก
fixed network ผ่านทาง BSC และ BTS ไปยังเครื่องโทรศัพท์ GSM ในแต่ละเครื่องได้
หรือเรียกในทางกลับกันไปยัง PSTN ได้, GMSC ยังทำหน้าที่จัดการโครงข่ายสำหรับข้อมูลจำเพาะของเครื่องโทรศัพท์
GSM แต่ละเครื่องอีกด้วย จำนวนของ GMSC ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงข่าย และปริมาณการดำเนินการเชื่อมโยงไปยัง
fixed network ในแต่ละคู่สายของ GMSC ถ้า traffic ภายในโครงข่าย cellular ต้องการความสามารถของ
GMSC มากกว่า 1 GMSC ก็สามารถเพิ่มชุมสาย Switching (Mobile Services Switching
Centers ,MSC) ให้ทำงานร่วมกับ GMSC โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ fixed network ความสามารถของ
GMSC และ MSC จะเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ MSC ไม่ต้องเชื่อมต่อกับ home
location register (HLR)
การติดต่อระหว่างระบบควบคุมสถานีฐาน (BSC) กับ ชุมสาย Switching (GMSC หรือ MSC)
จะเชื่อมโยงผ่าน A-interface โดยทาง 2.048-Mb,PCM-30 link (CCITT G.703,ISDN standard,
32 slots X 64kbps = 2.048-Mb) fixed-line standard ระบบ switching ของ GSM PLMN
เป็นลักษณะของ CCITT SSN7 protocol
6. ระบบอำนวยการและการบำรุงรักษา (Operation and Maintenance Center,
OMC) OMC จะติดต่อทั้งชุมสาย switching (GMSC,MSC) และระบบควบคุมสถานีฐาน (BSC)
โดยทำหน้าที่คอยจับ error message ที่เข้ามายังโครงข่าย และควบคุม traffic load
ของ BSC และ BTS , โดย OMC จะติดต่อไปยัง BTS ผ่านทาง BSC และทำการดำเนินการตรวจเช็กส่วนต่างๆ
ของระบบ เพื่อควบคุมคุณภาพของระบบให้ดีอยู่ตลอดเวลา
7. ระบบลงทะเบียนผู้ใช้ภายในพื้นที่ (Home Location Register, HLR) HLR จะเป็นระบบฐานข้อมูล
ทำหน้าที่เก็บข้อมูล ID และ ข้อมูลของผู้ใช้ทุกคนซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ GMSC นั้นๆ
, ข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บไว้อย่างถาวร ดังเช่นข้อมูลของ international mobile subscriber
number (IMSI) ของผู้ใช้แต่ละคน , ข้อมูลของเลขหมายโทรศัพท์ของผู้ใช้แต่ละคน, ข้อมูล
authentication key, ข้อมูลการยอมให้มีการใช้บริการเสริมต่างๆ ของลูกค้า, และข้อมูลชั่วคราวต่างๆ,ข้อมูลชั่วคราวต่างๆ
ประกอบด้วย (1) ที่อยู่ของผู้ใช้ต่างพื้นที่ที่ขอเข้ามาลงทะเบียนใช้งาน visitor
location register (VLR) ซึ่งจะต้องเขาไปจัดการให้เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้ามาขอลงทะเบียนให้สามารถใช้งานได้
(2) เลขหมายที่ขอให้มีการเรียก call forwarding และ (3) บาง parameters สำหรับ
authentication และ ciphering
IMSI จะถูกเก็บไว้อย่างถาวรใน SIM card , IMSI จะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากของข่าวสารที่ใช้เป็นหลักฐานข้อมูลของ
subscriber ภายในระบบ GSM รหัสตัวเลขของ IMSI จะมีรูปแบบดังนี้ 262 02 454 275
1010 ความหมายของรหัสอธิบายได้ดังนี้ รหัส 3 หลักแรกแสดง mobile country code (MCC)
และรหัส 2 หลักต่อไปแสดง mobile network code (MNC) และรหัส 10 หลักสุดท้ายที่เหลือแสดง
mobile subscriber identification number (MSIC) จากข้อมูลดังกล่าวเราสามารถแปลรหัสข้อมูลได้ดังนี้
หลักฐานของ subscriber นี้เป็นของประเทศเยอรมัน (MCC=262) บิลเรียกเก็บค่าบริการประจำเดือนจะต้องจ่ายให้กับเจ้าของโครงข่ายคือ
บริษัท D2 privat (MNC=02) รหัสตัวเลขแสดงเลขหมายของ SIM คือ (MSIC) 454 275 1010
, ตัวเลขรหัสที่ทำการเรียกจากโครงข่ายสาธารณะไปยังเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM
จะแตกต่างจาก IMSI และจะต้องเริ่มต้นด้วย area code เช่น 0127 และตามด้วยเลขหมายโทรศัพท์
7 หลัก โดยหลักแรกของเลขหมายโทรศัพท์แสดงความกี่ยวข้องกับ HLR จำนวนของหลักที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงข่ายและจำนวนของ
HLRs ในโครงข่าย, IMSI มุ่งหมายให้ใช้เฉพาะภายในโครงข่าย
8. ระบบลงทะเบียนผู้ใช้นอกในพื้นที่ (Visitor Location Register, VLR) VLR ทำหน้าที่บรรจุข้อมูลที่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ทุกเครื่องที่เข้ามา serving ภายในพื้นที่ของ (G)MSC ข้อมูลที่จัดเก็บจะมีการจัดเก็บอยู่
2 แบบคือ (1) การจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร โดยจะมีข้อมูลเหมือนกับข้อมูลใน HLR, (2)
การจัดเก็บข้อมูลอย่างชั่วคราว ซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บอย่างชั่วคราวจะแตกต่างกันกับข้อมูลใน
HLR ตัวอย่าง VLR จะบรรจุ temporary mobile subscriber identity (TMSI) ซึ่งจะใช้เพื่อจำกัดช่วงเวลาในการส่ง
IMSI ผ่านทาง air interface และทำหน้าที่แทนด้วย TMSI สำหรับหน้าที่ของ IMSI serves
, VLR ทำหน้าที่ให้ข้อมูลรองรับการทำงานของ (G)MSC ระหว่างทำการเรียกและพิสูจน์ข้อมูล
(call establishment and authentication procedure) ดังนั้นมันจึงต้องมีข้อมูลจำเพาะของ
subscriber ที่เข้ามาขอใช้บริการภายในพื้นที่ของ (G)MSC ส่งให้ (G)MSC ทราบ, พื้นที่เก็บข้อมูลของ
subscriber ใน VLR จะเหมือนกับใน HLR เพื่อลด traffic ของข้อมูล ใน HLR เพราะว่าไม่จำเป็นต้องถามเพื่อเอาข้อมูลอยู่ตลอดเวลามันต้องการเท่าที่จำเป็น
อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการเก็บข้อมูลในส่วนที่เหมือนกันในพื้นที่ของ HLR และ VLR
นั้น เป็นความมุ่งหมายในการ serves ที่แตกต่างกัน ,HLR จะต้องมีการจัดการข้อมูลของ
subscriber ไปให้ GMSC เมื่อมีการเรียกมาจาก public network , ส่วน VLR จะอีกกรณีหนึ่งที่
serves ใน function ที่ตรงกันข้ามกันกับ HLR โดยจัดการข้อมูลของข้อมูล subscriber
ไปให้ (G)MSC เมื่อมีการเรียกมาจากเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM (เช่น ระหว่าง
authentication) ถ้าเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM กลับมาอยู่ในพื้นที่ของ (G)MSC
ของตัวมัน มันยังคงใช้หลักการนี้และยังใช้บริการข้อมูลจากทั้ง HLR และ VLR อยู่
แม้ว่าข้อมูลในส่วน VLR จะดูเสมือนซ้ำซ้อน แต่มันก็น่าเชื่อถือและง่ายที่จะปฏิบัติอย่างเข้าใจ
9. ระบบศูนย์พิสูจน์ข้อมูล (Authentication, AC) AC จะทำงานสัมพันธ์กับ HLR มันจะจัดการข้อมูลจาก
HLR ด้วย set ที่แตกต่างกันของ parameters เพื่อการพิสูจน์ข้อมูลที่สมบูรณ์ของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM, AC จะต้องรู้ความจริงซึ่ง algorithm ที่มีใช้เพื่อข้อมูลจำเพาะของ subscriber
ในลำดับที่จะทำการคำนวณค่า input และ ออกผลที่ต้องการ เนื่องจากทุก algorithms
สำหรับปฏิบัติการพิสูจน์ข้อมูลถูกเก็บไว้ภายใน AC ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันการนำไปใช้โดยไม่ถูกต้องอีกชั้นหนึ่ง,
SIM card ที่ออกมาในพื้นที่ถูกกำหนดให้ AC ใช้ algorithms เดียวกันสำหรับให้ AC
ทำการพิสูจน์ข้อมูล ถ้า AC จัดการ parameter ของ input และ output สำหรับ algorithms
นี้โดยข้อมูลใน HLR หรือ VLR ข้อมูลในระบบการลงทะเบียนทั้งสองก็ต้องสามารถพิสูจน์ข้อมูลของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ได้
10. ระบบการลงทะเบียน ID ของอุปกรณ์เครื่องที่ GSM (Equipment Identity Register, EIR) EIR เป็น option นั้นคือ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ดำเนินการโครงข่าย อุปกรณ์ของ EIR เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของความปลอดภัยในระบบ GSM, ภายใน EIR เราจะพบ serial number ของอุปกรณ์เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ทั้งหมดในระบบ , international mobile equipment identity (IMEI) ไม่ได้เป็นเฉพาะ serial number แต่ยังแสดงโรงงานผู้ผลิต ประเทศผู้ผลิต และการรับรองรุ่น , ความคิดที่จะ check หลักฐานการลงทะเบียนหรือการ call setup ของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM เครื่องใดๆ ได้ขึ้นอยู่กับ IMEI ของตัวมัน เป็นการรับรองหรือ การ access เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไปในระบบ
( General Packet Radio Service )
หลังจากที่วงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการพัฒนาด้านการสื่อสารข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือและ
None Voice Application อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถสื่อสารได้ทุกรูปแบบอย่างไร้ขีดจำกัดในระหว่างเคลื่อนที่
ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยเสียงหรือข้อมูล ดั้งนั้นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จึงได้พัฒนาและนำเทคโนโลยีอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เช่น
1. Short Message Service(SMS)
- การใช้เทคโนโลยี SMS หรือการส่งข้อความที่กำลังได้รับความนิยมกันทั่วไปมากขึ้นทุกวันในบ้านเราขณะนี้
- Sim Tool Kit โดยใช้ Sim Card ที่ทางผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้พัฒนาและเพิ่มเติมบริการไว้ให้ใช้งานและบริการต่าง
ๆ ง่ายมากยิ่งขึ้น
2. Circuit Switched Data (CSD)
- WAP หรือ Wireless Application Protocol ที่สามารถ Connect กับโลกของข่าวสารข้อมูลกับ
Wap Site ต่าง ๆ ได้ทั่วโลกแม้กระทั้งในรูปแบบของ Wireless Internet
แต่อย่างไรก็ตามทางผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ยังเล็งเห็นว่า การโอนถ่ายสื่อสารข้อมูลของโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ยังมีข้อจำกัดในด้านความเร็วการรับส่ง และรวมไปถึงปริมาณข้อมูลที่สามารถทำการรับจึงได้เริ่มพัฒนาแก้ไขเพื่อที่จะเพิ่มเติมบริการตรงส่วนบกพร่องนี้ให้ดีขึ้น จึงได้เริ่มนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า GPRS
(General Packet Radio Service)
GPRS เป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ" General Packet Radio Service"ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลต่าง
ๆ ในรูปแบบแพ็กเก็ตต่าง ๆ
การเชื่อมต่อแบบใหม่ที่ใช้ระบบGPRSเข้ามาก็จะเป็นการเชื่อมต่อและวิธีการส่งข้อมูลที่มีลักษณะเช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตก็คือ
เมื่อต้องการข้อมูลหรือส่งข้อมูลอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเป็นการส่งข้อมูลลักษณะนั้น
เข้าไปในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้นไม่จำเป็นต้องจองเวลาไว้ตลอดเวลา จึงทำให้วิธีการใช้งานของ
GPRS ในแบบใหม่นี้ จะเห็นได้ว่าจะมีการพูดถึงการเก็บเงินที่เป็นจำนวนข้อมูลที่รับและส่งออกมา
มากกว่าวิธีการติดต่อสื่อสารจากวิธีเดิมที่คิดจำนวนเวลาในการติดต่อสื่อสารแต่ละครั้ง
การติดต่อด้วยระบบ GPRS ยังสามารถติดต่อสื่อสารด้วยเสียง ในขณะที่เราสามารถติดต่อสื่อสารผ่านโลกอินเตอร์เน็ตในขณะเดียวกัน
ซึ่งก็คือ เราสามารถติดต่อสื่อสารทั้ง 2 ระบบ ภายในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแต่ละรุ่นที่ผลิตออกมา
แต่เท่าที่ทราบในขณะนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรุ่นยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารพร้อม
ๆ กันได้
GPRS เชื่อมโลกอินเตอร์เน็ต บนโทรศัพท์เคลื่อนที่
GPRS ไม่ได้เป็นลักษณะที่จะสามารถให้บริการได้ด้วยตัวของระบบเอง แต่ตัวมันเองเป็นเพียงแค่
Bearer ให้กับ Application ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ความเร็วที่เพิ่มมากกว่าปกติในระบบ
GSM ที่เคยรองรับอยู่เดิมมาก่อน และระบบ GPRS จะต้องต่อไปยัง Packet Data Network
ที่เป็น IP NetWork อีกต่อหนึ่ง
ดังนั้นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่จะเปิดใช้ในระบบ GPRS ได้นั้นจะต้องทำการติดตั้งระบบเครือข่าย
ที่ประกอบด้วยหน่วยหลัก ๆ 2 หน่วยด้วยกันคือ
1. SGSN (Serving GPRS Supports Node)
2. GGSN (Gateway GPRS Supports Node)
โดยทั้งสองหน่วยหลักขององค์ประกอบนี้จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยมีอุปกรณ์อื่น
ๆ เป็นตัวช่วยเพื่อไปร่วมใช้ Radio Interface จาก Base Station โดยผ่านตัวควบคุม
ที่เรียกว่า PCU (Packet Control Unit) ที่ติดตั้งไว้ที่ BSC(Base Station Controller)
อันทั้งนี้อาจมองไNetwork เป็นอีก Network หนึ่ง ซึ่งเข้ากับ Mobile Phoneผ่านทาง
Radio Interface ของระบบ GSM Network เดิมโดยเป็นบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการรับส่งข้อมูลเป็น
Packetโดยตรง
คุณสมบัติเด่นหลัก ๆ ของระบบ GPRS คือ
การโอนถ่ายข้อมูลที่มีความสามารถในการ รับ- ส่งผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้สูงถึง
9 - 40 kbps ซึ่งจะทำให้สามารถรับ- ส่งข้อมูลที่เป็น VDO Mail หรือ ภาพเคลื่อนไหวต่าง
ๆได้ พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้เร็วและมีประสิทธภาพมากกว่าเดิมรวมถึงการ
Down lode/Up lode ได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. Always On การเชื่อมต่อเครือข่ายและโอนถ่ายข้อมูลสามารถดำเนินต่อไป แม้ในขณะที่มีสายติดต่อเข้ามาก็ตาม
จึงทำให้การโอนถ่ายข้อมูลไม่ขาดตอนลง
3. Wireless Internet ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Terminal เช่น PDA หรือ Note Book สามารถที่จะโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วขึ้นจากที่เคยเป็นอยู่
3rd Generation
ยุคที่ 3 ของการสื่อสารแบบไร้สายนี้ คาดว่าประมาณปี 2001-2002 จะเริ่มดำเนินการใช้จริงในประเทศ
ญี่ปุ่น และยุโรป ก่อน โดยจะสามารถเพิ่มอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลได้ถึง 384
Kbps - 2 Mbps (เปรียบเทียบกับ ปัจจุบันในปี 2000 Internet ในไทยยังทำความเร็วได้ไม่เกิน
56 Kbps)ทำให้ระบบการสื่อสารแบบไร้สายทำได้สมบูรณ์มากขึ้น สามารถพูดคุยกันแบบเห็นหน้าชัดเจน
(Video Conference) , ใช้เป็นสำนักงานเคลื่อนที่ (Mobile Office) , ชมวิดีทัศน์ตามสั่งได้ทันที
, ใช้เป็นเครื่องอ่านหนังสือ , ใบปลิว , โฆษณาสินค้า ต่างๆ ที่จะส่งข้อมูลมาที่เครื่องได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าโทรศัพท์เครื่องไหนมีความสามารถของ Video Conference เราก็อาจใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
ถ่ายรูปวิวที่เรากำลังอยูที่นั่นและส่งไปให้เพื่อนดูได้ทันที เหล่านี้เป็นตัวอย่างพื้นๆในความสามารถของโทรศัพท์มือถือในอนาคตอันใกล้
เทคโนโลยีที่จะใช้เร่งความเร็วให้ได้ถึง 384 Kbps หรือ 2 Mbps ได้แก่
ความก้าวหน้าของระบบ CDMA